วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2552

มหาบุรุษแห่งตำนานโหร เรือตรี สัมฤทธิ์ เกลาเกลี้ยง ร.น.





                      ทุกๆครั้งที่ผมได้มีโอกาสไปร่วมแสดงความยินดีกับลูกศิษย์ที่เรียนจบหลักสูตรโหราศาสตร์ในงานรับวุฒิบัตรของทางสมาคมโหราศาสตร์นานาชาติ ที่จัดขึ้นทุกปีที่สวนเจ้าเชตุ ในขณะที่ลูกศิษย์ของผมกำลังจะก้าวเท้าและรับมอบวุฒิบัตรจากประธานในพิธี ตัวผมเองในฐานะอาจารย์ผู้สอนมีความรู้สึกว่า “ต้นไม้แห่งความรู้และสติปัญญาที่ผมเฝ้ารดน้ำพรวนดิน บัดนี้ได้เติบโตเป็นต้นกล้าที่แข็งแรงและพร้อมจะเป็นร่มเงาให้แก่สาธารณชนผู้ที่มาอาศัยหลบร้อน รับฟังคำพยากรณ์ที่เปี่ยมไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์ตามหลักวิชาที่มีประวัติความเป็นมาที่ยาวนานกว่า 3,000 ปี” ผมรู้สึกว่า เวลาและความทุ่มเทในการสอนตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาที่สั้นสำหรับผม เสียงของประธานในพิธีก็ดังแทรกเข้ามาหลังจากที่สมาชิกทุกคนรับมอบวุฒิบัตรเรียบร้อยแล้ว เป็นการให้โอวาทแก่สมาชิกผู้สำเร็จการศึกษา เนื้อหาของเรื่องที่พูดก็เน้นไปในเรื่องของการสร้างขวัญกำลังใจให้แก่ผู้เรียน ความสำเร็จในอาชีพและจรรยาบรรณของนักโหราศาสตร์ แต่สำหรับผมกับรู้สึกว่าสิ่งต่างๆที่พูดมานั้น จะเกิดขึ้นอย่างชัดเจนและบริบูรณ์นั้น คงไม่ใช่ในช่วงระยะเวลาอันสั้น และส่วนหนึ่งที่สำคัญคือ ตัวของอาจารย์ผู้สอนที่จะถ่ายทอดองค์ความรู้และประสบการณ์ตลอดจนปลูกฝังจิตสำนึกหรือกระตุ้นจิตสำนึกที่ดีนั้นก็มีความสำคัญเช่นกัน แต่อาจารย์ที่กำลังพูดถึงนี้คงไม่ได้หมายถึงตัวผมในขณะนี้ แต่ผมกลับเห็นภาพของใครคนหนึ่งค่อยๆปรากฎขึ้นอย่างชัดเจนเป็นภาพในมิติความทรงจำจากอดีตที่กำลังมาแทนที่ช่วงเวลา ณ ปัจจุบัน


“ หากความสำเร็จของอนุชนคนรุ่นหลัง เกิดจากการเสียสละและการสนันสนุนจากคนรุ่นก่อน” ความสำเร็จของผมในฐานะของอาจารย์สอนวิชา เลข 7ตัวระบบพลังจักรวาลและโหราศาสตร์ฮินดู ของสมาคมโหราศาสตร์นานาชาติวัดราชนัดดา ก็ล้วนแล้วแต่ ได้รับความรักความเมตตาและความเสียสละ จากเหล่าบรรดาคณาจารย์โหรารุ่นเก่า เริ่มจากอาจารย์สมพงษ์ วินวรนารถ อาจารย์คนแรกที่แนะนำผมให้รู้จักกับวิชาโหราศาสตร์และสมาคมโหราศาสตร์นานาชาติ และอาจารย์อีกหลายๆท่านที่ทุ่มเทให้กับผม เชื่อมั่นและหวังในตัวผมว่า สักวันหนึ่ง ผมจะทอประกายความฝันและทำในสิ่งที่อาจารย์หลายท่านอยากจะทำ แต่ทำไม่สำเร็จเป็นความฝันในอุดมการณ์ที่นักโหราศาสตร์ทุกคนมุ่งมั่น แต่ยังมีอาจารย์อีกท่านหนึ่งซึ่งผมไม่มีวันจะลบเลือนไปจากจิตวิญญาณและความทรงจำตราบลมหายใจนี้ยังอยู่ คือ ท่านอาจารย์เรือตรี สัมฤทธิ์ เกลาเกลี้ยง

ในความรู้สึกของผม ผู้ชายคนนี้เทียบเท่าได้กับตำนานของมหาบุรุษแห่งวงการโหราศาสตร์ เพราะ นอกเหนือจากภูมิความรู้ในวิชาโหราศาสตร์ที่ในประเทศไทยในยุคปัจจุบันยังไม่มีใครที่จะมีความรู้อันลึกซึ้งไปกว่าท่านและตัวท่านเองนั้นก็เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของประวัติศาสตร์ เพราะเป็นที่ปรึกษาของ แม่ทัพเรือ พลเรือเอก สงัด ชะลออยู่ พูดได้ว่า หากไม่มีอาจารย์เรือตรีสัมฤทธิ์ ก็คงจะไม่มี พลเรือเอก สงัด ชะลออยู่ในฐานะของแม่ทัพเรือ เพราะท่านอาจารย์เป็นผู้ที่ให้คำแนะนำและให้คำปรึกษาก่อนการตัดสินใจลาออกของ พลเรือเอก สงัดในขณะที่ท่านยังเป็นรองแม่ทัพ อาจารย์ของผมได้ขอให้ท่านระงับการลาออกเพราะความน้อยใจในคำสั่งแต่งตั้งโยกย้าย และก็ได้บอกท่านว่า ชะตาชีวิตของท่านนั้นคือ ดวงชะตาของแม่ทัพเรืออย่างแน่นอน หากท่านชิงลาออกก่อน ท่านจะเสียใจในภายหลัง พลเรือเอกสงัด จึงระงับเรื่องการส่งใบลาออก ภายหลังจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง 14 ตุลาคม มีคำสั่งแต่งตั้ง พลเรือเอก สงัด ชะลออยู่ ขึ้นเป็นแม่ทัพเรือแทนที่แม่ทัพเรือคนก่อน นับว่าอาจารย์ผมได้มีส่วนช่วย พลเรือเอก สงัด ในครั้งนี้ ท่านเป็นทหารเรือที่มีความสามารถมากในด้านการใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร และการเขียน เพราะเคยไปบวชเรียนและศึกษาที่อินเดีย ซึ่งในสมัยนั้นคนที่พูดภาษาอังกฤษได้ในประเทศไทยยังมีอยู่น้อยท่านจึงเป็นคนที่โดดเด่นมาก ในกลุ่มของทหารเรือในยุคนั้นไม่มีใครไม่รู้จัก เรือตรีสัมฤทธิ์ ไม่ใช่แค่ความเก่งในวิชาโหราศาสตร์แต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ท่านยังมีน้ำใจกับเพื่อนฝูง เป็นคนรักษาคำพูดรักความยุติธรรม และเป็นผู้กล้าซึ่งเคยผ่านสมรภูมิดินแดนเวียดนาม นับว่าท่านผ่านประสบการณ์ชีวิตที่ยากยิ่งนักที่บุรุษคนหนึ่งจะเป็น และทำเช่นนั้นได้ ผมได้ฝากตัวเป็นศิษย์กับท่านอาจารย์เรือตรีสัมฤทธิ์ มาตั้งแต่ พ.ศ. 2545 มาจนถึงปัจจุบันท่านเป็นอาจารย์ที่ประเสริฐมาก ท่านสอนศิษย์ด้วยความรักและความเมตตา บางครั้งศิษย์บางคนมีฐานะการเงินไม่ดี ท่านยังให้ความอนุเคราะห์ให้ทั้งวิชาความรู้และให้ความช่วยเหลือโดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ ในระหว่างที่ผมเรียนกับท่านอาจารย์ ท่านได้ให้ปรัชญาในการทำงานและ การดำเนินชีวิตที่สำคัญคือ ความศรัทธาในตัวเองและอาชีพของตนเอง ท่านสอนว่า เราจะอยู่ในอาชีพการงานใดไม่สำคัญ เราต้องถามตัวเองว่าเราเชื่อมั่นและรักอาชีพของเราแค่ไหน หากเราทำงานโดยที่เราไม่ได้ศรัทธาในอาชีพนั้น หรือหวังเพียงค่าตอบแทนจากอาชีพนั้นโดยที่เราไม่เคยรักและเคารพในเกียรติ์ศักดิ์ศรีของอาชีพนั้น นอกจากเราจะไม่สำเร็จในการทำงานแล้วเรายังทำร้ายศักดิ์ศรีของตัวเราเองคือเราไม่เคารพตัวเราเอง เสียเวลาของตัวเอง ตัดโอกาสและทำลายอนาคตของคนอื่นที่เขามีความสามารถทำงานแทนที่เราได้แต่เขาไม่มีโอกาส นอกจากนี้ ท่านยังสอนให้ผม รู้จักคิดในเชิงตรรกะ “ไม่ว่าจะ อ่านหนังสือเล่มใด จะได้ยิน ได้ฟังอะไร จงใช้ วิจารณญาณว่า เรื่องนี้ มีที่มา ที่ไปอย่างไร มีแนวคิดหลักการอย่างไร มีความจริงเท็จเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน เพื่อที่เราจะได้เป็นผู้ทรงปัญญา รู้จริง “ ในเรื่องของการวางตัว ท่านสอนให้ผมรู้จักการนอบน้อมถ่อมตน ว่า “การที่เราเก่งกล้ามีความสามารถไม่ใช่เอาไปอวด หรือไปเอาเปรียบผู้ที่ไม่รู้เพราะการทำเช่นนั้น เราจะกลายเป็นคนถ่อย หากการเรียนรู้เป็นการนำความรู้ไปเอาเปรียบคนอื่น สู่เป็นคนไม่รู้อะไรมากแต่มีความดีความซื่อสัตย์ไม่ได้เพราะจะไม่สร้างปัญหาให้สังคมและประเทศชาติ” และปรัชญาที่ยิ่งใหญ่ ที่ท่านสอนผมคือ “ความรักและศรัทธาความกตัญญูต่อบุพการี เป็นคุณธรรมสูงสุด การที่เราสักการบูชาพระเจ้า หรือเทพเจ้า หากเรายังทำให้ บิดา มารดาของเราต้องหลั่งน้ำตาเรายังห่างไกลจากพระองค์มากนัก เพราะพระเจ้าที่ประทานชีวิตที่ยิ่งใหญ่ในโลกแห่งปัจจุบัน ในชีวิตของเรายังไม่มีความสุขแล้ว เราจะอ้างความรักความศรัทธาที่เรามีต่อพระผู้เป็นเจ้านั้นได้อย่างไร นั้นคือ การหลอกลวงพระองค์” อุดมการณ์วิชาโหราศาสตร์นั้น ท่านฝากให้ลูกศิษย์ทุกคนระลึกไว้ว่า มัต คือ ฟ้าจักรวาลคือองค์ความรู้ของเรานั้นคือโหราศาสตร์ ตะ คือพื้นดิน มวลมนุษย์ผู้มีวิถีเป็นไปตามลิขิตแห่งโชคชะตารวมทั้งตัวเราเองก็อยู่ในนั้นด้วย ยะ คือ ความรู้รอบสารทิศ สภาพแวดล้อม เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม เทคโนโลยีและภาษา เป็นสิ่งที่เราจะต้องเรียนรู้และผสานความรู้โหราศาสตร์หรือหาความสัมพันธ์ของโหราศาสตร์กับวิชาเหล่านั้นเข้าไว้ด้วยกัน นะ คือ การรวมพลังทุกสิ่งและสะท้อนออกไปสู่ความรู้แจ้ง สร้างสรรค์และพัฒนา เป็นแสงแห่งปัญญาที่สาดส่องพื้นพิภพให้สว่างไสว เป็นความหวังในความมืดมิดในจิตใจของปวงชนผู้เศร้าโศกและหวาดกลัว จากประสบการณ์ในการสั่งสอนและเพาะบ่มด้วย สัจจะ สุนทรีย์ ธรรมะ ตลอดจนความรักและความเมตตาที่ผมหล่อหลอมเข้าไปในจิตวิญญาณของตัวผม ทำให้ผมรู้สึกว่าผมมีบิดา มารดา มีอาจารย์ มีโหราศาสตร์ติดตามผมไปในทุกหนทุกแห่ง ไต้ฟ้าและพื้นพิภพนี้ ไม่มีอะไรที่ผม หวาดกลัว มีแต่ความหวัง มีความฝัน ที่ไม่มีใคร หรือสิ่งใดจะทำให้ผมท้อแท้ได้ เพราะจิตวิญญาณของมหาบุรุษและปรัชญาของมหาบุรุษ ค่อยกระตุ้นเตือนใจผมตลอดเวลา หากความสำเร็จในวันนี้ขอผมในฐานะอาจารย์โหราศาสตร์ภารตะผู้ได้รับความรักความศรัทธาจากลูกศิษย์จะเป็นเกียรติภูมิติดตัวผมไปจนวันตาย ผมขอให้เกียรติและคุณงามความดีนี้ เป็นกำนัลแด่ บิดา มารดาผู้ให้กำเนิดกาย และจิตวิญญาณ และอาจารย์โหราศาสตร์ทุกท่านและอาจารย์เรือตรีสัมฤทธิ์ผู้เป็นมหาบุรุษในใจผมตลอดไป .....................